Thursday, July 30, 2009

โอบามาจับมือจีน ปั้นโลกศตวรรษ21

โอบามาลั่น ร่วมมือจีนกำหนดโลกศตวรรษที่ 21 แต่อย่าหวังการหารือ 2 ฝ่ายจะบรรลุในทุกประเด็น
บารัก โอบามา
ประธานาธิบดี บารัก โอบามา แห่งสหรัฐ ขึ้นแถลงเปิดการเจรจาทวิภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีน ที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวานนี้ ประกาศลั่นว่า จีนและสหรัฐจะเป็น 2 ประเทศผู้กำหนด รูปแบบของโลกในศตวรรษที่ 21 ด้วยความร่วมมืออย่างยั่งยืน ไม่ใช่เป็นการเผชิญหน้ากัน

โอบามา ย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐและจีนจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ปัญหาสำคัญๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ หรือปัญหาการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

ผู้นำผิวสีของสหรัฐ กล่าวว่า ไม่มีทางที่ในการเจรจานาน 2 วันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ 2 ประเทศในครั้งนี้ จะได้ข้อตกลงเห็นพ้องกันในทุกประเด็น แต่ก็เชื่อว่าอย่างน้อยก็จะทำให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้นในประเด็นปัญหา สำคัญๆ ของโลก

“ผมเชื่อว่าเราจะได้ความคืบหน้าในบางประเด็นที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้” โอบามา กล่าว

ทั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่จีนซึ่งนำทีมโดย หวังฉีชาน รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง พร้อมกับ ไต้ปิ่งกั๋ว คณะมนตรีแห่งรัฐบาลจีน ซึ่งจะเป็นผู้ที่เจรจาในประเด็นการเมืองกับ ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ส่วนหวังจะเจรจากับ ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า การหารือนั้นครอบคลุมหลายประเด็น โดยเฉพาะต่อปัญหาที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนในแต่ละปีเป็นมูลค่ามหาศาล ไปตลอดจนถึงความร่วมมือในการหาทางออกในปัญหาวิกฤตนิวเคลียร์บนคาบสมุทร เกาหลี

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดว่า ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาอะไรกันบ้าง ซึ่งต้องรอจนกว่าการหารือจะจบสิ้น โดยที่ประชุมจะได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้

ก่อนหน้าที่การหารือจะมีขึ้น ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนและสหรัฐต่างก็ออกปากไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อาจจะไม่มีการบรรลุข้อตกลงในประเด็นปัญหาหลักๆ ของ 2 ชาติแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาดดุลของสหรัฐที่มีต่อจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้เกิดเสียงวิจารณ์ว่า การกดค่าเงินหยวนของจีน และการขาดดุลการค้าอย่างหนักของสหรัฐต่อจีนนั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับภาคการผลิตของสหรัฐมหาศาล และทำให้มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก

ด้านหวังผู้นำคณะของจีนได้กล่าวเพียงแต่ว่า จีนจะพยายามเปิดระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เพื่อช่วยให้สหรัฐกลับสู่การฟื้นตัวได้

No comments: