Thursday, September 30, 2010

ฟอร์บ(Forbes)ระบุ อินเดียมีอภิมหาเศรษฐี (India's Richest) 69คนแล้วเพิ่ม17คนใน1ปี

นิตยสารฟอร์บระบุการจัดอันดับคนรวยรายการใหม่ ที่มีการเปิดเผยในวันนี้ ระบุว่า เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของอินเดีย ได้ทำให้เกิดอภิมหาเศรษฐีเกิดใหม่ 17 คนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้อินเดียมีอภิมหาเศรษฐีมากเป็นประวัติการณ์คือ 69 คนแล้ว

นายมุเกช อัมบานี ประธานบริษัท "รีไรแอนซ์ อิสดัสทรีส์ "บริษัทเอกชนใหญ่สุดของอินเดีย ยังครองตำแหน่งเป็นชาวอินเดียผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นปีที่สามในปีนี้ ด้วยสินทรัพย์มูลค่ารวม 27,000ล้านดอลลาร์ และตามมาติดๆ ด้วยลักษมี มิตตัล เจ้าพ่อเหล็กผู้มีฐานที่มั่นที่ลอนดอน ด้วยสินทรัพย์มูลค่ารวม 26,100 ล้านดอลลาร์ ส่วนที่สามนั้น นายอาซิม เปรมจี เจ้าของบริษัท"อินโฟเทค"เลื่อนขึ้นมาครองตำแหน่ง ด้วยสินทรัพย์ 17,600 ล้านดอลลาร์ แทนที่น้องชายของนายอัมบานีคือนายอนิล อัมบานี ผู้ตกลงไปเป็นที่หกด้วยสินทรัพย์ 13,300 ล้านดอลลาร์
นายอินทราจิต คุปตะ บรรณาธิการฟอร์บส์ อินเดีย บอกว่าจำนวนมากอภิมหาเศรษฐีมากเป็นประวัติการณ์เป็นอีกสิ่งบ่งชี้ว่าศูนย์ กลางแรงโน้มถ่วงกำลังเขยิบไปทางอินเดียและจีนในช่วงทศวรรษหน้า

Wednesday, September 29, 2010

สรรเสริญ ตำรวจจีน จับไม่ไว้หน้า ยก-ปรับรถพวกเดียวกันจอดผิดกฎ

 จราจร เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนไม่ไว้หน้าพวกเดียวกัน สั่งยกรถตำรวจจอดไม่เป็นที่เป็นทาง แถมเปรียบเทียบปรับอีก 100 หยวน ชาวเน็ต-สื่อจีนสรรเสริญ ชี้อย่างนี้ถึงเรียกว่าบังคับใช้กฎหมายเท่าเทียม


         วานนี้ (27 ก.ย.) สื่อหลายแขนงของประเทศจีนได้รายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้มีชาวอินเทอร์เน็ตผู้หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “หนิววา” ได้ถ่ายและโพสต์ภาพรถยกของตำรวจกำลังเคลื่อนย้ายรถตำรวจทะเบียน “เอ้อ K0571 จิ่ง” (ตัวอักษร “เอ้อ” บ่งบอกถึงการเป็นรถในทะเบียนมณฑลหูเป่ย และ ตัวอักษร “จิ่ง” แสดงความเป็นรถในราชการตำรวจของจีน) ออกจากบริเวณอู๋กว่างเหมินโข่วในเมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย
     
       เมื่อภาพดังกล่าวถูกโพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์ในประเทศจีน ก็มีผู้ชมและผู้เข้ามาแสดงความเห็นมากมาย โดยมีบางส่วนตั้งคำถามว่า การยกรถตำรวจดังกล่าวอาจไม่ใช่เพราะรถตำรวจทำผิดกฎจราจร หรือ จอดรถผิดที่ แต่รถตำรวจอาจจะเสีย จึงต้องเรียกรถยกของพวกเดียวกันมาช่วยกันเคลื่อนย้ายไปซ่อมแซม
     
       ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ เย็นอู่ฮั่นจึงนำภาพดังกล่าวไปสอบถามกับ กองบังคับการตำรวจจราจรเจียงฮั่นซึ่งดูแลพื้นที่การจราจรในเขตอู๋กว่างเหมิ นโข่วในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งก็ได้คำตอบว่า รถตำรวจทะเบียน “เอ้อ K0571 จิ่ง” ในภาพฯ จอดรถผิดกฎจริง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 24 ก.ย.
     
       ตำรวจราจรเมืองอู่ฮั่นระบุว่า ในวันนั้นเพื่อทำให้การจราจรบริเวณนั้นคล่องตัวขึ้น ตำรวจจราจรจึงได้เคลื่อนย้ายรถหลายคันออกจากพื้นที่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงรถตำรวจคันดังกล่าวด้วย โดยได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับรถตำรวจดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 100 หยวน (ราว 500 บาท)
     
       กระทั่งวานนี้ภาพดังกล่าวที่ถูกโพสต์ขึ้นบนอินเทอร์เน็ตในประเทศจีน มีผู้เข้าชมมากกว่า 4 หมื่นครั้ง และมีผู้เข้าแสดงความคิดเห็นมากกว่า 300 คน โดยเกือบทั้งหมดเมื่อได้ทราบถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันของ ตำรวจจราจรเมืองอู่ฮั่น ก็แสดงความพอใจเป็นอย่างมาก

Tuesday, September 7, 2010

China replaces Japan as second-largest economy.

การที่จีนมีอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอัน รวดเร็วอย่างต่อเนื่องยาวนาน ช่วยให้แดนมังกรสามารถแซงหน้าญี่ปุ่นที่กำลังอยู่ในสภาพสะดุดติดขัด ขึ้นมาเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกได้ สำเร็จ สำหรับเป้าหมายต่อไปก็คือสหรัฐฯ โดยที่คาดหมายกันว่าจีนอาจจะไล่ทันและชิงขึ้นหน้าไปได้ภายในระยะเวลา 20 ปีต่อจากนี้ไป
      
       ข้อมูลตัวเลขที่รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งนำออกเผยแพร่ บ่งชี้ให้เห็นว่าจีนได้เข้าแทนที่ญี่ปุ่นแล้ว ในการเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองลงมาจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
      
       จากสถิติตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ (เม.ย.-มิ.ย.2010) เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในอาการติดๆ ขัดๆ เปรียบเทียบกับของจีนที่ยังคงมีอัตราเจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง
      
       ถึงแม้ขนาดเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ยังอยู่ในระดับที่ทิ้งห่างกัน เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ามันก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ฐานะของจีนกำลังขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นทุกทีทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก ซึ่งย่อมจะส่งผลสืบเนื่องต่อไปถึงปริมณฑลทางการเมืองด้วย
      
       ตัวเลขที่โตเกียวเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ เมื่อยังไม่มีการนำเอาปัจจัยทางฤดูกาลมาคำนวณปรับเปลี่ยน มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเทียบกับมูลค่าจีดีพีของจีนในช่วงเดียวกันและในเงื่อนไขเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์
      
       อย่างไรก็ตาม จำเป็นที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความแปลความหมายตัวเลขเหล่านี้ เนื่องจากมันครอบคลุมช่วงเวลาที่สั้นมาก แค่จากเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปีนี้ ซึ่งเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีอัตราเติบโตชะลอตัวลงจนอยู่ในระดับที่น่าสงสาร เพียง 0.4% เท่านั้นเอง ถ้าหากพิจารณากันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ตัวอย่างเช่นดูกันตลอดครึ่งแรกของปีนี้ ก็จะปรากฏว่าญี่ปุ่นยังคงนำหน้าอยู่
      
       กระนั้นก็ตาม จากการที่อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังเดินหน้าไปด้วยฝีก้าวอันน่าตื่นใจ เหลือเกิน โดยที่ในขณะนี้ประมาณการกันว่าอยู่ในระดับเท่ากับปีละ 10% ดังนั้นจึงไม่มีใครเลยจริงๆ ที่คาดหมายว่าญี่ปุ่นจะสามารถแซงคืนทวงตำแหน่งที่ตนช่วงชิงและครอบครองเอา ไว้ได้อย่างยาวนานตั้งแต่เมื่อปี 1968 ตอนที่แดนอาทิตย์อุทัยวิ่งเลยหน้าเยอรมันตะวันตก กลายเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
      
       ในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซาโตชิ อะราอิ (Satoshi Arai) ไม่ได้พูดถึงเรื่องการทวงตำแหน่งคืน แต่พยายามที่จะลดทอนความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้มากกว่า
      
       “ใครจะอยู่บนหรือลงล่างนั้นไม่มีความหมายอะไรหรอก มันเพียงแค่เป็นตัวแทนแสดงให้เห็นถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของแต่ละ ประเทศเท่านั้นเอง การพัฒนาของประเทศเรากำลังติดตามการพัฒนาของจีนและของชาติเอเชียอื่นๆ อย่างใกล้ชิด และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์แห่งการเจริญเติบโตของเราด้วย” อะราอิกล่าว
      
       **อยู่ติดชิดกับมหาอำนาจ**
      
       สำหรับประชาชนคนเดินถนนในญี่ปุ่น พวกเขาดูจะเผชิญหน้าข้อเท็จจริงอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ด้วยอาการยอมรับ สภาพ ผลการสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำกันในปีนี้บ่งชี้ว่า ชาวญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหนาหรอกที่ ประเทศของพวกเขาจะต้องมีฐานะเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
      
       นอกจากนั้น นักวิเคราะห์หลายคนยังชี้ว่า การที่ชาติเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของญี่ปุ่นผงาดก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทรง พลังทางเศรษฐกิจเช่นนี้ แดนอาทิตย์อุทัยก็จะได้ประโยชน์หลายอย่างหลายประการไปด้วย เฮเดกิ มัตสึมุระ (Heideki Matsumura) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งสถาบันวิจัยญี่ปุ่น (Japan Research Institute) บอกว่า “ในเรื่องดังกล่าวนี้มันก็มีส่วนประกอบที่เป็นไปในทางลบ กล่าวคือ เทคโนโลยีของจีนจะกระเตื้องยกระดับขึ้นเรื่อยๆ พวกบริษัทจีนจะสามารถแข่งขันกับบรรดาบริษัทของญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี มันก็มีส่วนประกอบที่เป็นไปในทางบวกอย่างมากมายทีเดียว ในแง่ที่ว่ายิ่งมีการเจริญเติบโตมากขึ้นในประเทศจีน ก็มีผู้คนมากขึ้นที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่น ดังนั้นโดยองค์รวมแล้ว การพัฒนาของเศรษฐกิจจีนคือเรื่องที่ดีสำหรับญี่ปุ่น”
      
       แน่นอนทีเดียวว่าความสำเร็จของจีนยังจะส่งผลกระทบไปในโลกอันกว้างไกล ไม่หยุดแค่เพียงระดับภูมิภาค ทั้งนี้อำนาจทางเศรษฐกิจย่อมนำมาซึ่งอิทธิพลบารมีทางการเมือง
      
       ดังที่ผู้สื่อข่าว เดวิด บาร์โบซา (David Barboza ) เขียนเอาไว้ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เวลานี้จีนก็เป็นผู้ขับดันความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกรายสำคัญอยู่แล้ว เขาบอกว่าพวกผู้นำของแดนมังกรกำลังแสดงความมั่นอกมั่นใจมากขึ้นบนเวที ระหว่างประเทศ และเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลอย่างใหญ่โตทั้งในเอเชีย, แอฟริกา, และละตินอเมริกา ด้วยเครื่องมือต่างๆ อย่างเช่น ข้อตกลงการค้าชนิดให้สิทธิพิเศษ และข้อตกลงด้านทรัพยากรมูลค่าหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์
      
       พวกนักเศรษฐศาสตร์ประมาณการกันว่า ถ้าหากแนวโน้มในปัจจุบันยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แล้ว จีนก็จะพรักพร้อมแซงหน้าสหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลกได้ภายในปี 2030 อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ใช่ของง่ายๆ และจีนยังจะต้องเร่งความเร็วกันไปอีกระยะหนึ่งทีเดียว เนื่องจากจีดีพีของสหรัฐฯในปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 14 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

No rush for China.

ข้อมูลตัวเลขที่มีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าจีนได้ขึ้นแทนที่ญี่ปุ่นในการเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจ ใหญ่เป็นที่ 2 ของโลกแล้ว โดยเป็นรองก็แต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขณะที่โลกเฝ้าจับมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกพิศวง, ด้วยการยกย่องชมเชย, และกระทั่งด้วยความหวาดกลัว ปักกิ่งกลับไม่ได้แสดงอาการภูมิอกภูมิใจอย่างออกนอกหน้า ไม่ปรากฏการยกนิ้วเชิดชูในที่สาธารณะ ท่าทีเช่นนี้ของจีนสะท้อนให้เห็นว่า แดนมังกรจะไม่รีบร้อนในการก้าวขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่ง
   
       ปักกิ่ง – บรรดาเยาวชนเลือดร้อนผู้ซึ่งในอดีตมักออกมารวมตัวกันตะโกนคำขวัญต่อต้าน ญี่ปุ่น ต่างพากันเก็บตัวเงียบกริบ เหล่ากุนซือเทศนาสั่งสอนลัทธิคลั่งชาติของพวกเขาก็ประพฤติตนเสมือนกับได้รับคำสั่งให้ปิดปากให้สนิท หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ทำเฉยไม่แยแสข่าวนี้ หรือไม่ก็จับเอาไปตีพิมพ์ไว้ตรงมุมที่ลับตา ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสต่างพยายามหลบหลีกไม่เอ่ยถึงหัวข้อนี้ในเวลา ที่ต้องพูดจากับชาวต่างประเทศ
   
       ข้อมูลตัวเลขที่รัฐบาลญี่ปุ่นนำออกเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าจีนได้เข้าแทนที่ญี่ปุ่นในฐานะเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจ ขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแล้ว โดยเป็นรองก็แต่สหรัฐฯเท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ ก่อนที่จะมีการปรับตัวแปรตามฤดูกาล มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเท่ากับ 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเทียบกับของจีนซึ่งเท่ากับ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ก็คือถูกแดนมังกรแซงหน้าไป

สิงคโปร์แสดงแสนยานุภาพ [ Singapore shows its strengths ]

    
       อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจอันโดดเด่น ถึง 24% ต่อปี ของ Singapore สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศเกาะแห่งนี้กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงลึก ซึ่งรวมตั้งแต่การมีบ่อนกาสิโน และคู่ค้าสำคัญอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม คำเตือนจากสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์ของโลกอย่าง พอล ครุกแมน ในเรื่องข้อจำกัดต่างๆ ของสิงคโปร์ ซึ่งให้ไว้ตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่แล้ว ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
     
       มอนทรีออล, แคนาดา – การขยายตัวทางเศรษฐกิจอันน่าตื่นตาตื่นใจของสิงคโปร์ ณ อัตรา 24% ต่อปี ณ ไตรมาส 2/2010 เทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้นั้น ไม่น่าที่จะสามารถรักษาพลังการเติบโตอันร้อนแรงนี้ได้เรื่อยๆ ในเมื่อคู่ค้าสำคัญหลายรายของสิงคโปร์ อาทิ สหรัฐอเมริกา กับบรรดาประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ล้วนอยู่ในภาวะย่ำแย่ ต้องตะกายวิ่งสู้ฟัดเพื่อประคองพลวัตการฟื้นตัว
     
       ทั้งนี้ เป็นการวินิจฉัยโดยนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง แห่งสิงคโปร์ ซึ่งกล่าวไว้เมื่อกลางเดือนสิงหาคมว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ก็เหมือนประเทศเอเชียอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพิงภาคส่งออก ดังนั้นจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยเป็นผลจากที่ทางการในยุโรปเร่งเดินนโยบายเข้มงวดรัดเข็มขัด กระนั้นก็ตาม รัฐบาลเมืองลอดช่องยังคงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ที่อัตรา 13%-15% ต่อปีในปี 2010 นี้ โดยที่ว่า ณ ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อัตราขยายตัวของไตรมาส 2/2010 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สิงคโปร์สามารถโตขึ้นมา 18%

อีก 5 ปี จีนจะเป็นตลาดสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เอเยนซี-ผุ้เชี่ยวชาญคาด อีก 5 ปี จีนจะเป็นตลาดสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะปีนี้ เบียดสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นตลาดหรูอันดับสองรองจากญี่ปุ่น ผู้ประกอบการต่างมีรายได้เพิ่มขึ้น 100% สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันที่ 6 ก.ย.
      
       ไอแวน ถง ประธานบริษัท สปาร์เคิล โรลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรูหรารายใหญ่ในประเทศจีน กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า "ลูกค้าชาวจีนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อหาสินค้าหรูหรามากกว่าลูกค้าจากประเทศ ไหนๆ"
      
       สปาร์เคิล โรลล์ ที่หันมาจับธุรกิจการ์ตูนและอนิเมชั่นเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรูชื่อดังผ่านกิจการเอเย่นต์นำเข้ารถยนต์ที่ได้ เข้าถือฯ เมื่อปี 2551 ด้วยเล็งเห็นศักยภาพการขยายตัวของธุรกิจสินค้าหรูหราในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยปัจจุบัน บริษัทจำแนกสินค้าชั้นสูงที่จัดจำหน่ายออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เพื่อครองตลาดลูกค้ากลุ่มเศรษฐีใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีทั้งกลุ่มเจ้าของธุรกิจเหมือง ทายาทตระกูลเศรษฐี เจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ นักธุรกิจการเงิน และเจ้าของกิจการต่างๆ โดยสินค้าที่มีอยู่ในเครือมีทั้ง รถยนต์ นาฬิกาข้อมือ เครื่องประดับอัญมณี และไวน์
      
       บริษัทฯ รายงานผลประกอบการในปีงบการเงินที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นเกือบ 100% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ด้วยอานิสงค์ของเศรษฐกิจจีนที่ดีวันดีคืน สร้างเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ
      
       รายงานข่าวกล่าวว่า ทุกหนึ่งในสิบคันของรถยนต์สุดหรูอย่างเบนท์เล่ ที่ราคาโดยเฉลี่ยคันละ 3.5-7 ล้านหยวน จะขายในจีนแผ่นดินใหญ่ เช่นเดียวกับโรลสรอยซ์ และลัมโบกีนี่
      
       เดอลา กูร์ บิตูรบียอง กิจการนาฬิกาสุดหรูจากสวิส เพิ่งเข้าไปบุกตลาดในจีน และก็ทำรายได้แล้วราว 4.2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
      
       รายงานด้านการพาณิชย์ของจีน ประจำปี 2552-2553 ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพ.ค.ปีนี้ คาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปี จีนจะกลายเป็นตลาดสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาดทะลุไปถึง 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
      
       รายงานดังกล่าวจัดทำโดยสถาบันสังคมศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งคาดการณ์จากมูลค่าตลาดสินค้าหรูของจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา และครองสัดส่วนตลาดหรูฯ โลก ราว 27.5% แซงสหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น

Monday, September 6, 2010

จีน ติด Top 5 เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในต่างประเทศ


กระทรวงพาณิชย์ของจีน แถลงเมื่อวานว่า ปัจจุบันจีนกลายเป็นผู้ลงทุนในต่างประเทศรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วจากอันดับ 12 ในปี 2551 เมื่อสองปีก่อน  โดยโดยมียอดลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ หรือ ODI 56,530 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 1.1% จากเมื่อปี 2551 ซึ่งนับเป็นปีที่ 8 ติดต่อกันแล้วที่ยอด ODI เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจนถึงสิ้นปี 2552 มีบริษัทจีน 13,000 แห่งเข้าไปลงทุนใน 177 ประเทศและดินแดนทั่วโลก โดยมีการลงทุนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามด้วยยุโรปและแอฟริกา
ขณะที่ในปีที่แล้วประเทศต่างๆทั่วโลกมีปริมาณการลงทุนในต่างแดนรวมกัน 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และจีนมีสัดส่วนการลงทุนคิดเป็นเกือบ 5.1% ของทั้งหมด
นอกจากนี้จีนคาดว่าจะมียอดการลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI โดยตรงเกินกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 90,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
การเติบโตทั้งในส่วนการลงทุนของจีนในต่างประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศใน จีน สะท้อนได้ดีถึงอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่มสูงขึ้นและความน่าดึงดูดใน ฐานะแหล่งน่าลงทุน