Thursday, September 30, 2010
ฟอร์บ(Forbes)ระบุ อินเดียมีอภิมหาเศรษฐี (India's Richest) 69คนแล้วเพิ่ม17คนใน1ปี
Wednesday, September 29, 2010
สรรเสริญ ตำรวจจีน จับไม่ไว้หน้า ยก-ปรับรถพวกเดียวกันจอดผิดกฎ
เมื่อภาพดังกล่าวถูกโพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์ในประเทศจีน ก็มีผู้ชมและผู้เข้ามาแสดงความเห็นมากมาย โดยมีบางส่วนตั้งคำถามว่า การยกรถตำรวจดังกล่าวอาจไม่ใช่เพราะรถตำรวจทำผิดกฎจราจร หรือ จอดรถผิดที่ แต่รถตำรวจอาจจะเสีย จึงต้องเรียกรถยกของพวกเดียวกันมาช่วยกันเคลื่อนย้ายไปซ่อมแซม
ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ เย็นอู่ฮั่นจึงนำภาพดังกล่าวไปสอบถามกับ กองบังคับการตำรวจจราจรเจียงฮั่นซึ่งดูแลพื้นที่การจราจรในเขตอู๋กว่างเหมิ นโข่วในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งก็ได้คำตอบว่า รถตำรวจทะเบียน “เอ้อ K0571 จิ่ง” ในภาพฯ จอดรถผิดกฎจริง โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 24 ก.ย.
ตำรวจราจรเมืองอู่ฮั่นระบุว่า ในวันนั้นเพื่อทำให้การจราจรบริเวณนั้นคล่องตัวขึ้น ตำรวจจราจรจึงได้เคลื่อนย้ายรถหลายคันออกจากพื้นที่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงรถตำรวจคันดังกล่าวด้วย โดยได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับรถตำรวจดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 100 หยวน (ราว 500 บาท)
กระทั่งวานนี้ภาพดังกล่าวที่ถูกโพสต์ขึ้นบนอินเทอร์เน็ตในประเทศจีน มีผู้เข้าชมมากกว่า 4 หมื่นครั้ง และมีผู้เข้าแสดงความคิดเห็นมากกว่า 300 คน โดยเกือบทั้งหมดเมื่อได้ทราบถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันของ ตำรวจจราจรเมืองอู่ฮั่น ก็แสดงความพอใจเป็นอย่างมาก
Tuesday, September 7, 2010
China replaces Japan as second-largest economy.
ข้อมูลตัวเลขที่รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งนำออกเผยแพร่ บ่งชี้ให้เห็นว่าจีนได้เข้าแทนที่ญี่ปุ่นแล้ว ในการเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองลงมาจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
จากสถิติตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ (เม.ย.-มิ.ย.2010) เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในอาการติดๆ ขัดๆ เปรียบเทียบกับของจีนที่ยังคงมีอัตราเจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง
ถึงแม้ขนาดเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ยังอยู่ในระดับที่ทิ้งห่างกัน เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ามันก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ฐานะของจีนกำลังขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นทุกทีทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก ซึ่งย่อมจะส่งผลสืบเนื่องต่อไปถึงปริมณฑลทางการเมืองด้วย
ตัวเลขที่โตเกียวเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ เมื่อยังไม่มีการนำเอาปัจจัยทางฤดูกาลมาคำนวณปรับเปลี่ยน มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเทียบกับมูลค่าจีดีพีของจีนในช่วงเดียวกันและในเงื่อนไขเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม จำเป็นที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความแปลความหมายตัวเลขเหล่านี้ เนื่องจากมันครอบคลุมช่วงเวลาที่สั้นมาก แค่จากเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปีนี้ ซึ่งเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีอัตราเติบโตชะลอตัวลงจนอยู่ในระดับที่น่าสงสาร เพียง 0.4% เท่านั้นเอง ถ้าหากพิจารณากันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ตัวอย่างเช่นดูกันตลอดครึ่งแรกของปีนี้ ก็จะปรากฏว่าญี่ปุ่นยังคงนำหน้าอยู่
กระนั้นก็ตาม จากการที่อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังเดินหน้าไปด้วยฝีก้าวอันน่าตื่นใจ เหลือเกิน โดยที่ในขณะนี้ประมาณการกันว่าอยู่ในระดับเท่ากับปีละ 10% ดังนั้นจึงไม่มีใครเลยจริงๆ ที่คาดหมายว่าญี่ปุ่นจะสามารถแซงคืนทวงตำแหน่งที่ตนช่วงชิงและครอบครองเอา ไว้ได้อย่างยาวนานตั้งแต่เมื่อปี 1968 ตอนที่แดนอาทิตย์อุทัยวิ่งเลยหน้าเยอรมันตะวันตก กลายเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซาโตชิ อะราอิ (Satoshi Arai) ไม่ได้พูดถึงเรื่องการทวงตำแหน่งคืน แต่พยายามที่จะลดทอนความสำคัญของตัวเลขเหล่านี้มากกว่า
“ใครจะอยู่บนหรือลงล่างนั้นไม่มีความหมายอะไรหรอก มันเพียงแค่เป็นตัวแทนแสดงให้เห็นถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของแต่ละ ประเทศเท่านั้นเอง การพัฒนาของประเทศเรากำลังติดตามการพัฒนาของจีนและของชาติเอเชียอื่นๆ อย่างใกล้ชิด และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์แห่งการเจริญเติบโตของเราด้วย” อะราอิกล่าว
**อยู่ติดชิดกับมหาอำนาจ**
สำหรับประชาชนคนเดินถนนในญี่ปุ่น พวกเขาดูจะเผชิญหน้าข้อเท็จจริงอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ด้วยอาการยอมรับ สภาพ ผลการสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำกันในปีนี้บ่งชี้ว่า ชาวญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหนาหรอกที่ ประเทศของพวกเขาจะต้องมีฐานะเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น นักวิเคราะห์หลายคนยังชี้ว่า การที่ชาติเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของญี่ปุ่นผงาดก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทรง พลังทางเศรษฐกิจเช่นนี้ แดนอาทิตย์อุทัยก็จะได้ประโยชน์หลายอย่างหลายประการไปด้วย เฮเดกิ มัตสึมุระ (Heideki Matsumura) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งสถาบันวิจัยญี่ปุ่น (Japan Research Institute) บอกว่า “ในเรื่องดังกล่าวนี้มันก็มีส่วนประกอบที่เป็นไปในทางลบ กล่าวคือ เทคโนโลยีของจีนจะกระเตื้องยกระดับขึ้นเรื่อยๆ พวกบริษัทจีนจะสามารถแข่งขันกับบรรดาบริษัทของญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี มันก็มีส่วนประกอบที่เป็นไปในทางบวกอย่างมากมายทีเดียว ในแง่ที่ว่ายิ่งมีการเจริญเติบโตมากขึ้นในประเทศจีน ก็มีผู้คนมากขึ้นที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่น ดังนั้นโดยองค์รวมแล้ว การพัฒนาของเศรษฐกิจจีนคือเรื่องที่ดีสำหรับญี่ปุ่น”
แน่นอนทีเดียวว่าความสำเร็จของจีนยังจะส่งผลกระทบไปในโลกอันกว้างไกล ไม่หยุดแค่เพียงระดับภูมิภาค ทั้งนี้อำนาจทางเศรษฐกิจย่อมนำมาซึ่งอิทธิพลบารมีทางการเมือง
ดังที่ผู้สื่อข่าว เดวิด บาร์โบซา (David Barboza ) เขียนเอาไว้ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เวลานี้จีนก็เป็นผู้ขับดันความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกรายสำคัญอยู่แล้ว เขาบอกว่าพวกผู้นำของแดนมังกรกำลังแสดงความมั่นอกมั่นใจมากขึ้นบนเวที ระหว่างประเทศ และเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลอย่างใหญ่โตทั้งในเอเชีย, แอฟริกา, และละตินอเมริกา ด้วยเครื่องมือต่างๆ อย่างเช่น ข้อตกลงการค้าชนิดให้สิทธิพิเศษ และข้อตกลงด้านทรัพยากรมูลค่าหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์
พวกนักเศรษฐศาสตร์ประมาณการกันว่า ถ้าหากแนวโน้มในปัจจุบันยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แล้ว จีนก็จะพรักพร้อมแซงหน้าสหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลกได้ภายในปี 2030 อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ใช่ของง่ายๆ และจีนยังจะต้องเร่งความเร็วกันไปอีกระยะหนึ่งทีเดียว เนื่องจากจีดีพีของสหรัฐฯในปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 14 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
No rush for China.
ปักกิ่ง – บรรดาเยาวชนเลือดร้อนผู้ซึ่งในอดีตมักออกมารวมตัวกันตะโกนคำขวัญต่อต้าน ญี่ปุ่น ต่างพากันเก็บตัวเงียบกริบ เหล่ากุนซือเทศนาสั่งสอนลัทธิคลั่งชาติของพวกเขาก็ประพฤติตนเสมือนกับได้รับคำสั่งให้ปิดปากให้สนิท หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ทำเฉยไม่แยแสข่าวนี้ หรือไม่ก็จับเอาไปตีพิมพ์ไว้ตรงมุมที่ลับตา ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสต่างพยายามหลบหลีกไม่เอ่ยถึงหัวข้อนี้ในเวลา ที่ต้องพูดจากับชาวต่างประเทศ
ข้อมูลตัวเลขที่รัฐบาลญี่ปุ่นนำออกเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าจีนได้เข้าแทนที่ญี่ปุ่นในฐานะเป็นประเทศเจ้าของเศรษฐกิจ ขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแล้ว โดยเป็นรองก็แต่สหรัฐฯเท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ ก่อนที่จะมีการปรับตัวแปรตามฤดูกาล มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเท่ากับ 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเทียบกับของจีนซึ่งเท่ากับ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ก็คือถูกแดนมังกรแซงหน้าไป
สิงคโปร์แสดงแสนยานุภาพ [ Singapore shows its strengths ]
อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจอันโดดเด่น ถึง 24% ต่อปี ของ Singapore สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศเกาะแห่งนี้กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงลึก ซึ่งรวมตั้งแต่การมีบ่อนกาสิโน และคู่ค้าสำคัญอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม คำเตือนจากสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์ของโลกอย่าง พอล ครุกแมน ในเรื่องข้อจำกัดต่างๆ ของสิงคโปร์ ซึ่งให้ไว้ตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่แล้ว ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
มอนทรีออล, แคนาดา – การขยายตัวทางเศรษฐกิจอันน่าตื่นตาตื่นใจของสิงคโปร์ ณ อัตรา 24% ต่อปี ณ ไตรมาส 2/2010 เทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้นั้น ไม่น่าที่จะสามารถรักษาพลังการเติบโตอันร้อนแรงนี้ได้เรื่อยๆ ในเมื่อคู่ค้าสำคัญหลายรายของสิงคโปร์ อาทิ สหรัฐอเมริกา กับบรรดาประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ล้วนอยู่ในภาวะย่ำแย่ ต้องตะกายวิ่งสู้ฟัดเพื่อประคองพลวัตการฟื้นตัว
ทั้งนี้ เป็นการวินิจฉัยโดยนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง แห่งสิงคโปร์ ซึ่งกล่าวไว้เมื่อกลางเดือนสิงหาคมว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ก็เหมือนประเทศเอเชียอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพิงภาคส่งออก ดังนั้นจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยเป็นผลจากที่ทางการในยุโรปเร่งเดินนโยบายเข้มงวดรัดเข็มขัด กระนั้นก็ตาม รัฐบาลเมืองลอดช่องยังคงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ที่อัตรา 13%-15% ต่อปีในปี 2010 นี้ โดยที่ว่า ณ ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อัตราขยายตัวของไตรมาส 2/2010 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สิงคโปร์สามารถโตขึ้นมา 18%
อีก 5 ปี จีนจะเป็นตลาดสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ไอแวน ถง ประธานบริษัท สปาร์เคิล โรลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรูหรารายใหญ่ในประเทศจีน กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า "ลูกค้าชาวจีนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อหาสินค้าหรูหรามากกว่าลูกค้าจากประเทศ ไหนๆ"
สปาร์เคิล โรลล์ ที่หันมาจับธุรกิจการ์ตูนและอนิเมชั่นเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรูชื่อดังผ่านกิจการเอเย่นต์นำเข้ารถยนต์ที่ได้ เข้าถือฯ เมื่อปี 2551 ด้วยเล็งเห็นศักยภาพการขยายตัวของธุรกิจสินค้าหรูหราในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยปัจจุบัน บริษัทจำแนกสินค้าชั้นสูงที่จัดจำหน่ายออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เพื่อครองตลาดลูกค้ากลุ่มเศรษฐีใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีทั้งกลุ่มเจ้าของธุรกิจเหมือง ทายาทตระกูลเศรษฐี เจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ นักธุรกิจการเงิน และเจ้าของกิจการต่างๆ โดยสินค้าที่มีอยู่ในเครือมีทั้ง รถยนต์ นาฬิกาข้อมือ เครื่องประดับอัญมณี และไวน์
บริษัทฯ รายงานผลประกอบการในปีงบการเงินที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นเกือบ 100% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ด้วยอานิสงค์ของเศรษฐกิจจีนที่ดีวันดีคืน สร้างเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ
รายงานข่าวกล่าวว่า ทุกหนึ่งในสิบคันของรถยนต์สุดหรูอย่างเบนท์เล่ ที่ราคาโดยเฉลี่ยคันละ 3.5-7 ล้านหยวน จะขายในจีนแผ่นดินใหญ่ เช่นเดียวกับโรลสรอยซ์ และลัมโบกีนี่
เดอลา กูร์ บิตูรบียอง กิจการนาฬิกาสุดหรูจากสวิส เพิ่งเข้าไปบุกตลาดในจีน และก็ทำรายได้แล้วราว 4.2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
รายงานด้านการพาณิชย์ของจีน ประจำปี 2552-2553 ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพ.ค.ปีนี้ คาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปี จีนจะกลายเป็นตลาดสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาดทะลุไปถึง 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานดังกล่าวจัดทำโดยสถาบันสังคมศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งคาดการณ์จากมูลค่าตลาดสินค้าหรูของจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา และครองสัดส่วนตลาดหรูฯ โลก ราว 27.5% แซงสหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น
Monday, September 6, 2010
จีน ติด Top 5 เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในต่างประเทศ
Wednesday, January 20, 2010
จีนอาจแย่งตำแหน่งประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลกปี2563
Friday, January 15, 2010
"กูเกิ้ล"แฮปปี้เบิร์ธเดย์"โดราเอม่อน"
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของโดราเอมอนที่เห็น Google Doodle ก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่า มันมีของวิเศษอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งในที่นี้ก็จะมี ประตูสารพัดสถานที่,คอปเตอร์ไม้ไผ่ และก็ไฟฉายย่อส่วน แต่ของวิเศษทุกอย่างมาจากกระเป๋ามิติที่สี่ที่อยู่บนหน้าท้องของมัน เชื่อว่า หลายคนที่ได้เห็นโดราเอมอนปรากฎตัวบนหน้าเว็บของ Google ก็จะต้องคิดถึงเจ้าแมวจากโลกอนาคตตัวนี้อย่างแน่นอน
เอา ล่ะ เพื่อให้หายคิดถึงกันเล็กน้อย ก็เลยขอแนะนำแก็ดเจ็ตใหม่ล่าสุดของโดราเอม่อน (doraemon) นั่นก็คือ My Doraemon ซึ่งเป็นหุ่นยนต์เพื่อนเล่นขนาดกะทัดรัด (ตั้งบนโต๊ะทำงาน) ที่สามารถโต้ตอบกับผู้เล่นได้ด้วยเสียงพูดของมัน โดยผู้เล่นสามารถจับมือ(แทนสวิทช์) บีบหาง เพื่อให้มันพยักหน้า (หรือส่ายหน้า) พูดจาโต้ตอบ ตลอดจนแสดงอารมรณ์ผ่านลูกตาทั้งสองที่ใช้เทคโนโลยี e-Paper ไฮเทคฯไม่เใช่เล่นเลย นอกจากนี้ มันยังมาพร้อมกับอินฟราเรดที่สามารถตรวจจับสิ่งที่เคลื่อนไหว และหันหน้ามองตามได้อีกด้วย นอกจากฟังก์ชันเหล่านี้แล้ว My Doraemon ยังเทำหน้าที่ป็นนาฬิกาบอกเวลา และเทอร์โมมิเตอร์บอกอุณหภูมิให้เราทราบได้อีกต่างหาก ช่างสมกับเป็นหุ่่นยนต์แมวแห่งอนาคตจริงๆ เลยนะครับ
คุณผู้อ่านทีสนใจอยากได้ My Doraemon ที่จัดทำขึ้นในวาระครบรอบ 35 ปีของโดราเอมอน คงต้องทุบกระปุกกันเลยทีเดียว เพราะราคาของมันคือ 31,500 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 12,500 บาทครับ