Tuesday, September 7, 2010

อีก 5 ปี จีนจะเป็นตลาดสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เอเยนซี-ผุ้เชี่ยวชาญคาด อีก 5 ปี จีนจะเป็นตลาดสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะปีนี้ เบียดสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นตลาดหรูอันดับสองรองจากญี่ปุ่น ผู้ประกอบการต่างมีรายได้เพิ่มขึ้น 100% สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันที่ 6 ก.ย.
      
       ไอแวน ถง ประธานบริษัท สปาร์เคิล โรลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรูหรารายใหญ่ในประเทศจีน กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า "ลูกค้าชาวจีนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อหาสินค้าหรูหรามากกว่าลูกค้าจากประเทศ ไหนๆ"
      
       สปาร์เคิล โรลล์ ที่หันมาจับธุรกิจการ์ตูนและอนิเมชั่นเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรูชื่อดังผ่านกิจการเอเย่นต์นำเข้ารถยนต์ที่ได้ เข้าถือฯ เมื่อปี 2551 ด้วยเล็งเห็นศักยภาพการขยายตัวของธุรกิจสินค้าหรูหราในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยปัจจุบัน บริษัทจำแนกสินค้าชั้นสูงที่จัดจำหน่ายออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เพื่อครองตลาดลูกค้ากลุ่มเศรษฐีใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีทั้งกลุ่มเจ้าของธุรกิจเหมือง ทายาทตระกูลเศรษฐี เจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ นักธุรกิจการเงิน และเจ้าของกิจการต่างๆ โดยสินค้าที่มีอยู่ในเครือมีทั้ง รถยนต์ นาฬิกาข้อมือ เครื่องประดับอัญมณี และไวน์
      
       บริษัทฯ รายงานผลประกอบการในปีงบการเงินที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นเกือบ 100% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ด้วยอานิสงค์ของเศรษฐกิจจีนที่ดีวันดีคืน สร้างเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ
      
       รายงานข่าวกล่าวว่า ทุกหนึ่งในสิบคันของรถยนต์สุดหรูอย่างเบนท์เล่ ที่ราคาโดยเฉลี่ยคันละ 3.5-7 ล้านหยวน จะขายในจีนแผ่นดินใหญ่ เช่นเดียวกับโรลสรอยซ์ และลัมโบกีนี่
      
       เดอลา กูร์ บิตูรบียอง กิจการนาฬิกาสุดหรูจากสวิส เพิ่งเข้าไปบุกตลาดในจีน และก็ทำรายได้แล้วราว 4.2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
      
       รายงานด้านการพาณิชย์ของจีน ประจำปี 2552-2553 ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพ.ค.ปีนี้ คาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปี จีนจะกลายเป็นตลาดสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาดทะลุไปถึง 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
      
       รายงานดังกล่าวจัดทำโดยสถาบันสังคมศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งคาดการณ์จากมูลค่าตลาดสินค้าหรูของจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา และครองสัดส่วนตลาดหรูฯ โลก ราว 27.5% แซงสหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น

No comments: